วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ 10 ข้อ ของการเล่นดนตรี+ร้องเพลง

ประโยชน์ 10 ข้อ จากการเล่นดนตรี-ร้องเพลง ... น่าสนใจมากๆ
( เครดิต ภาพ จาก -> musicouch.com )
1. เป็นงานอดิเรก
เล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกเป็นที่นิยมชนิดหนึ่ง ทำให้เด็กๆรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และยังเป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มความสามารถพิเศษอีกด้วย
2. รู้จักความงามของเสียงดนตรี
ในหลายๆมุมดนตรีก็เป็นศิลปะที่เข้าใจง่าย เพียงแค่เปิดใจฟังเท่านั้น ถ้าเด็กๆมีประสบการณ์ทางดนตรีอย่างสม่ำเสมอ เขาจะเข้าถึงสุนทรียของศาสตร์แห่งเสียงนี้ และมีความสุขจากการฟังดนตรีได้อย่างไม่ยากนัก
3. รู้จักจัดสรรเวลา
ในการเรียนดนตรีในแต่ละสัปดาห์นั้น โดยปรกติอาจารย์จะให้การบ้านที่เหมาะกับการซ้อมในแต่ละสัปดาห์ เด็กๆจะเรียนรู้ที่จะวางแผนในการจัดเวลาซ้อมในแต่ละวัน ในแต่ละสัปดาห์ โดยช่วงแรกอาจมีคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองคอยช่วยแนะนำ จนเด็กๆเริ่มจัดสรรเวลาเป็น เรื่องนี้จะเป็นอุปนิสัยที่ดีติดตัวเมื่อเขาเหล่านั้นโตขึ้น
4. รู้จักการตั้งเป้าหมาย และการวางแผน
ในการสอบวัดผลทางดนตรี หรือการแข่งขันทางดนตรีใดๆ เด็กจะได้หัดตั้งเป้าหมายระยะกลางและระยะยาว เขาจะได้เรียนรู้การวางแผนชีวิต การจัดสรรเวลา การออกแบบการซ้อมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาได้ตั้งเอาไว้ และภาคภูมิใจกับความสำเร็จเหล่านั้น
5. เชื่อมโยงประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหวของร่างกาย
การฝึกเครื่องดนตรีแต่ละเครื่อง เด็กๆจะต้องใช้ประสาทสัมผัส รวมถึงการเคลื่อนไหวหลายๆด้านพร้อมกัน ใช้ตาในการอ่านโน้ต ใช้หูในการฟังเสียง การหายใจ ร่วมถึงการขยับกล้ามเนื้อมัดใหญ่เช่นแขน หรือขา ไปจนถึงมัดเล็กๆอย่างนิ้วมือ จึงช่วยให้เขามีทักษะการเชือมโยงต่างๆดีขึ้น
6. พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
ในหลายๆประเทศพ่อแม่ นิยมให้ลูกๆฟังดนตรีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีงานวิจัยออกมามากมายว่าดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีคลาสสิกมีส่วนช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ของเด็กวัยเจริญเติบโต การเรียนดนตรีนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆได้มีโอกาสใช้ดนตรีพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์โดยตรง
7. พัฒนาสมาธิ
ในระหว่างเล่นดนตรีนั้นเด็กๆ จะต้องใช้สมาธิอย่างมาก แรกๆ พวกเขาจะเริ่มจากเพลงสั้นๆง่ายๆ จนพัฒนามากขึ้นเล่นเพลงได้ยาวขึ้น ทำให้เด็กๆถูกปลูกพัฒนาการใช้สมาธิไปทีละน้อยๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
8. พัฒนาบุคลิกภาพ
การเรียนดนตรีในแต่ละเครื่องมือนั้น ในช่วงเริ่มแรกจะมีการบังคับท่าทางการนั่ง ยืน เดิน หรือเคลื่อนไหว ที่เอื้อกับการเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นท่าที่ส่งเสริมบุคลิกภาพ ยืนตัวตรง นั่งหลังตรง เด็กๆจะเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนา จนซึมซับอุปนิสัยท่ายืน ท่าเดินและท่านั่งเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน
9. เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง
เด็กๆจะได้มีโอกาสพูด แสดง และปรากฏตัวต่อหน้าผุ้ชมจำนวนมาก เขาจะได้รับประสบการณ์ความตื่นเต้น ความประหม่า และเขาจะได้เรียนรู้วิธีการเอาชนะตนเอง เพื่อข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองในที่สุด
10. เล่นดนตรีเป็น
และท้ายที่สุดเมื่อเขาเติบโตขึ้น ผ่านบทเรียนที่ซับซ้อนในห้องเรียน ผ่านการฝึกฝนอันหนักหน่วงที่บ้าน ได้เรียนรู้การวางแผนผ่านการตั้งเป้าหมายครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านการแสดงต่อหน้าผู้ชมหลายสิบครั้ง ผ่านเรื่องราวต่างมากมายบนถนนสายดนตรี เขาจะเติบใหญ่กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะการจัดการตนเองได้อย่างดีเยี่ยม มีทักษะทางสังคม รู้จักรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา ให้เกียรติผู้อื่น เป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง และที่สำคัญที่สุด เขาจะมีดนตรีเป็นเพื่อนตลอดไป
เครดิต: DD Music Tutor@ Mahidol

( Music Content : ประโยชน์ 10 ข้อ จากการเล่นดนตรี-ร้องเพลง )

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

รวม เครื่องดนตรีสากล ที่ ราคา แพง !!! ที่สุดในโลก

รวม เครื่องดนตรีสากล ที่ ราคา แพง !!! ที่สุดในโลก
เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่แพงๆแบบสุดขั้ว
 
 
กีตาร์ แพงที่สุดในโลก ( Most expensive guitar )
 
 
Most expensive guitar กีตาร์ แพงที่สุดในโลก เป็น กีต้าร์ไฟฟ้า ยี่ห้อ Fender รุ่น Stratocaster ( เป็นรุ่นมาตรฐานธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ ) แต่เนื่องจากความคิดของทาง Fender ยุโรป นำโดยนาย Jamie Crompton ได้ปรึกษากับทาง Bryan Adams ว่าพวกเราศิลปิน นักดนตรีพอจะสามารถช่วยเหลืออะไรผู้ประสบภัย ซึนามิ ได้บ้าง จึงได้ชักชวนกันโดยมี
  • Mick Jagger
  • Keith Richards
  • Eric Clapton
  • Brian May
  • Jimmy Page
  • David Gilmour
  • Jeff Beck
  • Pete Townsend
  • Mark Knopfler
  • Ray Davis
  • Liam Gallagher
  • Ronnie Wood
  • Tony Iommi
  • Angus & Malcolm Young
  • Paul McCartney
  • Sting
  • Ritchie Blackmore
  • Def Leppard
  • Bryan Adams
โดยทุกคนได้ช่วยเซ็นต์ชื่อลงบนกีตาร์เพื่อเอาออกประมูลที่โดฮา ( Doha ) ประเทศกาตาร์ ( Qatar ) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2005 โดยถูกประมูลไปโดยราชวงศ์กาตาร์

ไปด้วยราคาสูงถึง 98 ล้านบาท ( 2.8 ล้านเหรียญยูเอส )
 
ปิ๊กกีต้าร์ แพงที่สุดในโลก ( Most expensive pick guitar )
 
 
Most expensive pick guitar บริษัท Starpics ของ ออสเตรเลีย ได้ผลิตปิ๊กกีต้าร์ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร โดยใช้วัตถุที่เรียกว่า Gibeon Meteorite ที่ค้นพบในดาวตก ที่ตกลงมาบนโลกเมื่อ 4 พันล้านปีที่ผ่านมา และมีการค้นพบ Gibeon Meteorite เมื่อปี 1836 ใน นามีเบีย ( Namibia ) ประเทศอัฟริกา ( Africa ) ซึ่งการซื้อขาย หรือส่งออก Gibeon Meteorite เป็นสิ่งต้องห้ามจากทางรัฐบาล ซึ่งนั้นเป็นความจริง แต่เนื่องจาก Gibeon Meteorite มีน้ำหนักมากถึง 25 ตัน ซึ่งธรรมดาที่สามารถหาซื้อ Gibeon Meteorite ได้ตามตลาดมืด
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ Gibeon Meteorite ก็คือลวดลายที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนสาร หรือธาตุใดที่เรียกว่า วิดแมนสทาแทน ( Widmanstatten Line ) โดยสิ่งที่เห็นเป็นเส้นเงาๆ คือ เหล็ก ( Ion ) ส่วนเส้นที่เห็นด้าน คือ นิคเกิ้ล ( Nickle ) ที่เกิดจากที่อุกาบาตที่มีส่วนผสมของเหล็ก และนิคเกิ้ล ที่เกิดการเย็นตัว ในอวกาศที่หนาวเหน็บ อย่างช้า

ปิ๊ก คู่นี้มีราคา 163,590 บาท ( 4,674 เหรียญสหรัฐอเมริกา )
 
 
ซ้าย ภาพอุกกาบาต Gibeon ที่จัดแสดงไว้ที่ Post Street Mall, Windhoek
รูปขวา ลวดลาย วิดแมนสทาแทน ( Widmanstatten Line ) ที่เห็นเป็นเส้นเงาๆ คือ เหล็ก ( Ion ) ส่วนเส้นที่เห็นด้าน คือ นิคเกิ้ล ( Nickle
 
กลองชุด แพงที่สุดในโลก ( Most expensive Drum kit )
 
 
Drum kit หรือ กลองชุด แพงที่สุดในโลก มันถูกจัดการประมูลโดยสถาบันคริสตี้ ลอนดอน ( Christie ) ไปเมื่อปี 2004 กลองชุดนี้เป็นกลองที่ได้รับการสั่งทำพิเศษ ยี่ห้อ Premiere จากสุดยอดมือกลอง คีธ มูน ( Keith Moon ) วง THE WHO ผู้มีเอกลักษณ์ในการแสดง ที่ชอบทำลายกลองที่ใช้ในการแสดงของตนเอง
กลองชุด นี้ประกอบไปด้วย กลอง 5 ชิ้น
  • กลองทอม ( Tom drum ) ขนาด 14"x8" จำนวน 2 ใบ
  • Floor drum จำนวน 2 ใบ
  • กลองใหญ่ จำนวน 1 ใบ โดยมีการสกรีนด้านหน้าด้วยข้อความสีส้มว่า " THE WHO "
  • โดยกลองทั้ง 5 ชิ้นนี้มีการชุบ โครเมี่ยมใหม่
มันถูกประมูลไปด้วยราคา 8,837,045 บาท ( 252,487 เหรียญสหรัฐ ) ในแก่นักสะสมชาวอเมริกัน
 
สุดยอดมือกลอง คีธ มูน ( Keith Moon )
 
ไวโอลิน แพงที่สุดในโลก ( Lady Tennant is most expensive violin )
 
 
Lady Tennant เป็นไวโอลิน ที่สร้างโดย Antonio Stradivari และได้มีการประมูลโดยสถาบัน Christie ไปด้วยราคา 71,120,000 บาท ( 2,032,000 เหรียญสหรัฐ ) ผู้ประมูลได้ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ได้ให้นักไวโลลิน นามว่า Yang Liu ยืมใช้อย่างไม่มีกำหนด โดย Yang Liu กล่าวว่าเสียงของ Lady Tennant นั้นน้ำเสียงที่โปร่งและกังวาน เสียงใหญ่แต่ไม่กระด้าง Liu ยังกล่าวต่อไปว่า น้ำเสียงของมันคล้ายกับนักร้องที่เก่งๆ ดูสบายๆ แต่มีความหนักแน่นอยู่ในเนื้อเสียง

เกร็ด Yang Liu หมุ่มผู้โชคดีคนนี้คือใคร ?

Liu เกิดเมื่อปี 1976 ที่เมือง Qingdao ประเทศจีน พออายุได้ 9 ขวบเขาได้รับการคัดเลือกให้เข้าศึกษายังสถาบันการดนตรี Central Conservatory of Music ที่เมืองปักกิ่ง และได้รับเชิญให้เดี่ยวไวโอลินบทเพลง Zigeunerweisen ของ Pablo de Sarasate ร่วมกับวง NHK Orchestra ที่กรุงโตเกียวเมื่ออายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้น และเดินได้ทางไปศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6 ปีที่แล้วเพื่อศึกษาด้านไวโอลินกับ Kurt Sassmannshaus และ Dorothy DeLay และเขายังเป็นผู้ชนะเลิศการเเข่งขันไวโอลินในรายการ International Tchaikovsky Competition ปี 2002 ปัจจุบันเขาพำนักอยู่ในชิคาโก ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านไวโอลินที่สถาบัน College of Performing Arts ของมหาวิทยาลัย Roosevelt University
 
รูปซ้าย Yang Liu และในมือของเขาก็คือ Lady Tennantรูปขวา Antonio Stradivari
 
เปียโน แพงที่สุดในโลก ( Most expensive Piano )
 
 
 
Most expensive Piano เปียโน หลังนี้เป็นเปียโนยี่ห้อ the Steinway & Sons รุ่น Model Z ที่ทำจากไม้่วอล์ นัท ( walnut ) ที่มีรอยบุหรี่ไหม้อยู่ สองสามแห่ง แต่มันคือตำนานของวงการดนตรี เพราะมัน เป็นเปียโน ของ จอห์น เลนนอน John Lennon หนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีที่ดังที่สุดวงหนึ่งในโลก วงสี่เต่าทอง (เดอะบีทเทิลส์ The Beatle ) จอห์น ซื้อมันในเดือน ธันวาคม 1970 และนำไปที่สตูดิโอที่บ้านของเขา ในเมือง Berkshire ประเทศอังกฤษ เขาได้ใช้เปียโนตัวนี้ใช้แต่ง ซ้อม และบันทึกเสียงเพลงอิมเมจิ้น ( Imagine ) เปียโนตัวนี้ได้ใช้ในการแสดงภาพยนต์เพลง ครั้งแรกร่วมกับภรรยาของเขา โยโกะ โอโนะ ( Yoko Ono ) เปียโนตัวนี้ได้ใช้ในการทำเพลงอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของจอห์น คืออัลบั้ม Plastic Ono band

จอห์น เลนนอน John Lennon (ซ้าย) George Michael (ขวา)
 
George Michael นักร้องเพลงป็อปของอังกฤษ ได้ประมูลเปียโนตัวนี้ ไปในปี 2000 ด้วยราคาประมาณ 73.5 ล้านบาท ( 1.45 ล้านปอร์น ) และหลังจากเขาได้ใช้เปียโนตัวนี้บันทึกอัลบั้ม เมื่อได้ทำการบันทึกอัลบั้มเสร็จ ชอจ์น ได้มอบเปียโนตัวนี้ให้แก่ พิพิธภัณฑ์ลิเวอร์พูล ที่เป็นบ้านเกิดของจอห์น ที่เป็นบ้านที่สำคัญยิ่งของจอห์น
 
ปล.นำมาฝากไว้แค่นี้ล่ะครับ 
ที่มา http://wowboom....
        http://board.postjung.com/597472.html
( Music content : เครื่องดนตรีสากล ที่ แพง ! ที่สุดในโลก )

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

คนดนตรี ทำไมต้องมีเพื่อนสนิท เป็น YouTube กะ Facebook ?

“..อยากเป็นนายตัวเอง ก็เป็นได้เลย…” พ่อค้าขายลูกชิ้นปิ้งที่มีสูตรอร่อยเฉพาะตัว บอกไว้อย่างนั้น ชั่วโมงนี้โลกเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ให้เห็นหน้าเห็นตากันตลอดเวลา มีของดีอะไร ถ้าคิดว่ามันเจ๋งจริง ก็ประกาศบอกโลกตรงๆไปได้เลย ถ้าไม่ดี ไม่มีใครสน อย่างน้อยก็จะได้รู้ .. ขายลูกชิ้น ขายขนมเค้ก ขายไอติม มันไม่ต่างกับการทำงานเพลง “ขายเพลง” เลยครับ ยุคสมัยนี้ ศิลปินหน้าใหม่ๆทุกคน ก็เกิดมาจาก facebook หรือไม่ก็ youtube สร้างชื่อเสียงและเงินทองติดอันดับโลกก็มากมาย ได้ท่องไปในหลายๆประเทศ ไปโชว์ตัวตามที่ต่างๆ ด้วยเพียงเพลงสองเพลง ที่แต่งเองร้องเอง แล้วปล่อยลง youtube เท่านั้น ..ไม่มีอะไรยากอีกต่อไปแล้ว

.. ..แล้วอะไรล่ะครับ ที่ว่ายาก ? .. ใจเรานี่แหละครับ ความต้องการในใจเรา ตรงนี้ที่มันยาก มันไม่ค่อยจะลงตัวพอดี มันไม่แน่ไม่นอนว่าแท้จริงแล้ว เราต้องการอะไร สิ่งใดคือเป้าหมายที่แท้จริง ต่างๆนาๆที่หมดเวลาไปกับการคิดหาคำตอบ วนเวียนอยู่ก็ยิ่งทำให้แรงบันดาลใจดีดี ที่มีพลัง อ่อนตัวทอนหายไปกับสายลมเสียหมด รักจะเป็น “ศิลปิน” ไม่จำเป็นต้องตั้งท่านาน .. อะไรท่านานมาก ช้ามาก ประเดี๋ยวใครจะคิดได้ว่า แท้จริงเราไม่มีของไปสู้กับใคร หนักไปทางคิด พูด มากกว่าจะทำให้เห็นจริง .. มีนิตยสารฟรีก๊อปปี้เล่มหนึ่ง บังเอิญผมไปอ่านเจอขณะนำรถเข้าไปล้าง เขาสรุปจากการวิเคราะห์ในทางจิตวิทยาว่า ใครก็ตามที่ถ่ายคลิปตัวเองลง facebook หรือโชว์ใน youtube ส่วนลึกในใจส่วนใหญ่แทบจะ 100% คืออยากให้คนรู้จักตัวเองมากขึ้น .. อยากให้คนเข้ามาชื่นชม ยินดี มากด Like มาติดตาม และสิ่งที่เหมือนกันเกิน 80% คนเหล่านั้น อยากมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม และไม่ปฏิเสธวงการบันเทิง หากมีแมวมองมาทาบทาม หรือชักชวน .. เขาวิเคราะห์กันแบบนั้นครับ เสียดายที่ผมจดจำชื่อนิตยสารเล่มนั้นไม่ได้ แต่ผมนำกลับมาคิดต่อ นึกไปนึกมา ก็สรุปกับตัวเองได้ว่า มันน่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง เพราะโลกของ facebook และ youtube ไม่ใช่ “โลกส่วนตัว” อย่างที่เด็กๆหรือผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย พยายามจะบอกสังคม ทันทีที่คุณปล่อยอะไรลงไป นั่นเพราะส่วนลึกของคุณ อยากให้คนรับรู้ รู้สึกร่วม เห็นคล้อยไปกับคุณทั้งสิ้น ที่จะบอกว่า แค่อยากปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่มีการติดตามดูฟีตแบ็ค ไม่น่าจะมี ส่วนนี้เขาก็วิเคราะห์กันเหมือนที่ผมคิด คนส่วนใหญ่ อยากได้รับการ “ตอบสนอง” สิ่งที่คาดหวัง และไม่คาดหวังต่างหาก ที่อาจแตกต่างกัน .. เขาวิเคราะห์กันซีเรียสเลยครับ มันก็สมควรอยู่หรอก เพราะทุกวันนี้ พี่ youtube กับน้อง facebook กลายเป็นปัจจัยที่ 6 ไปแล้ว (ปัจจัยที่ 5 คือ เงิน / ความคิดเห็นส่วนตัว) ใครมีปัจจัยที่ 1 – 5 แต่ไม่มีปัจจัยที่ 6 ..บางคนถึงขนาดบอกว่า โลกขาดความสมดุล , ขาดอาวุธในการทำมาหากิน , ขาดสังคม , ขาดเพื่อน , ขาดคู่คุย และ ขาดตกบกพร่องในเรื่องข่าวสารข้อมูล ที่ว่ากันว่า รวดเร็วไม่แพ้แหล่งข่าวทางตรงอื่นๆในโลก กันเลยทีเดียว .. ก็ว่ากันไปครับ .. ในสังคมที่ผมอยู่ รายรอบไปด้วยคนทำงานเพลง แต่งเพลง ร้องเพลง บันทึกเสียงเอง แล้วก็นำมาปล่อยเองลงโซเชี่ยลมีเดีย ให้คนได้เสพ ได้รับชม และร่วมแสดงความคิดเห็น เกินครึ่งที่ทำจริงจัง ต่อเนื่อง ทำเป็นเหมือนงานประจำ ทำด้วยความสนุก และก็มีที่ไปได้ไกล ส่วนที่ไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีฝีมือ แต่บางส่วนก็มีที่เมื่อถูกค่ายเพลง หรือคนมาสนใจเชิญไปร่วมงานจริงๆแล้ว การปฏิบัติตัว บวกกับความรับผิดชอบ มันจำเป็นต้องมีมากกว่าแค่การ “ถ่ายตัวเอง” แล้วก็ปล่อยลงคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์เท่านั้น หลายๆคนก็ไม่สามารถจัดการตัวเองให้พร้อมจะเป็นมืออาชีพได้ ก็ต้องพลาดโอกาสดีดีไปอย่างน่าเสียดาย ทำได้แค่เป็น “ของดีในโซเชี่ยลมีเดีย” เท่านั้น แต่โลกชีวิตจริงๆ กลับไม่มีตัวตน .. ตีซี้ไว้เถอะครับ ทั้งพี่ youtube กับน้อง facebook คบหาให้สนิทเข้าไว้ มีแต่ได้น้อย กับได้มาก ขณะที่ปล่อยเพลงลงไป เฝ้าติดตามผล เช็คเรตติ้ง ก็อย่าลืมเรียนรู้ การตลาดง่ายๆให้ทันโลก ทันพฤติกรรมของคนในสังคมออนไลน์ควบคู่ไปด้วย เพราะถ้าวันหนึ่ง ผลงานของคุณมันโผล่ขึ้นมาจากความเงียบ คุณจะได้ออกอาวุธถูก ว่าจะใช้ส่วนใดเป็นแผนสอง บุกตะลุยให้ผลงานขึ้นสูงไปกว่าเก่า ไอ้ที่จะรอลูกฟลุคอย่างเดียว โดยออกหมัดไม่เป็น มันจะนิยมได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ต้องหัดเป็น “นักจัดการตัวเอง” ให้เก่งด้วย .. ถึงจะเรียกว่า ไม่เสียโอกาสไงล่ะครับ ( Credit ที่มา : แบไต๋ ไฮเทค )